เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ พ.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ทำไมต้องฟังธรรมะ เห็นไหม เดี๋ยวนี้โลกเจริญ เราเกิดมาแล้วมีการศึกษา เรามีปัญญามาก ทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์ได้ทุกๆ สิ่ง ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ เราคิดของเรา เราพิจารณาของเรา มันน่าเชื่อถือ แล้วมันลงใจ แต่ธรรมะล่ะ เวลาธรรมะเราก็คิดได้ด้วยปัญญาของเรา ถ้าเราคิดได้ด้วยปัญญาของเรานะ ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยปัญญา ปัญญาคือเหตุผลไง

หลวงตาท่านสอนว่า “เหตุและผลรวมกันเป็นธรรม” มันมีเหตุมีผลของมันเราถึงยอมรับได้ ถ้าไม่มีเหตุมีผล เราจะยอมรับสิ่งใดได้ล่ะ เห็นไหม เพราะเรามีปัญญา เราถึงใช้ปัญญาของเราใคร่ครวญได้ลึกซึ้งนัก แต่เวลาลึกซึ้งนัก เราก็มีปัญญามาก ทำไมเราควบคุมตัวเราไม่ได้ล่ะ

ฟังธรรมๆ เพราะกิเลสมันไม่มีเหตุมีผล กิเลสมันไม่ยอมรับเหตุผลใครหรอก ดูสิ เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา เวลาอารมณ์ความรู้สึกที่มันกระตุ้นขึ้นมา เรามีเหตุผลอะไรยับยั้งมันได้บ้างล่ะ เรายับยั้งมันไม่ได้หรอก เรายับยั้งไม่ได้เพราะอะไรล่ะ เรายับยั้งไม่ได้ นั่นล่ะกิเลสของเรามันได้เสริมไง เสริมด้วยสติปัญญาของเรา

เวลามีสติปัญญาขึ้นมา เราว่าเรามีสติปัญญาของเรา เรามีเหตุมีผลของเรา เราต้องฉลาดสิ เราต้องมีสัจธรรม เราค้นคว้าของเราได้สิ ทำไมต้องฟังธรรมๆ ล่ะ

ฟังธรรมนะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ที่วัดเจดีย์หลวง นี่ท่านได้เทศน์ ครูบาอาจารย์ท่านชมไงว่าเทศน์เรื่องใกล้ตัวเรานี่แหละ ความคุ้นชินของเรานี่แหละ เทศน์เรื่องกิริยา เรื่องความเป็นไปของเรานี่แหละ แต่ทำไมเรามองข้ามๆ ล่ะ ปัญญาเราเยอะมาก กิเลสมันไม่มีเหตุมีผลอะไรหรอก เวลาอารมณ์ความรู้สึกที่มันกระตุ้นขึ้นมามันไม่มีเหตุผลที่จะเอาได้หรอก แต่ถ้าเรามีสติปัญญามากขนาดไหน กิเลสมันก็อาศัยสติปัญญานั้นน่ะอ้างเป็นเหตุผลของมันเลย

ถ้ามันอ้างเหตุผลของมัน วิทยาศาสตร์ๆ ที่เราพิสูจน์ได้ เรามีปัญญามาก เราใคร่ครวญได้ เราเข้าใจได้ๆ นั่นน่ะ เข้าใจได้ เข้าใจได้ด้วยโลกียปัญญา เข้าใจได้ด้วยกิเลสมันเอาปัญญาที่เราว่ามันมีปัญญานั่นน่ะมาใช้ ใช้การเสริม เสริมให้กิเลสมันมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น แล้วเราก็บอกเราก็มีปัญญา เราก็คิดได้นะ เราก็คิดได้ ทำไมเราเอาตัวเราไว้ในอำนาจของเราไม่ได้ล่ะ ทำไมเรายับยั้งหัวใจเราไม่ได้ เวลาเรายังมีสติปัญญาพอสมควร เราถึงว่าเราปรารถนา

ชีวิตของเรา เห็นไหม ชีวิตของเราต้องดำเนินต่อไป ชีวิตเราหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออก หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้านี่สิ้นสุด ชีวิตเราต้องดำเนินต่อไป แล้วดำเนินต่อไปอย่างไรล่ะ? ดำเนินต่อไปด้วยความสุขสงบระงับในหัวใจของเรา ถ้ามีหน้าที่การงานสิ่งใดก็ทำหน้าที่การงานอย่างนั้น แล้วทำความสุขในชีวิตของเรา ถ้ามีความสุขในชีวิตของเรา เราปรารถนาที่นี่กัน แล้วถ้าสุขในชีวิตประจำวันของเรา เรามีสติมีปัญญาเท่าทันกับกิเลสของเรา ให้กิเลสของเรามันไม่ฟูขึ้นมา ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยเหตุด้วยผลตรงธรรมะ ด้วยเหตุด้วยผลตรงธรรมะแล้วมีสติปัญญา

แล้วถ้าใครทำความสงบของใจให้มากขึ้น ถ้าความสงบของใจมากขึ้นมันลึกซึ้งมากขึ้น เพราะว่าอะไร เพราะว่าเวลาภาวนามยปัญญา มรรคละเอียดมันละเอียดขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ตั้งแต่ปุถุชน กัลยาณปุถุชน ปุถุชนคนหนา เวลาคนหนา คำว่า “คนหนา” คนหนาคือตัณหา ตัณหาคือความพอใจ ความพอใจ ความปรารถนา ถ้าความปรารถนาแล้วมันมีเหตุมีผลเสริมกับความปรารถนานั้นมันจะไปไหนล่ะ นี่ปุถุชน

กัลยาณปุถุชน รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เวลามันส่งเสริมขึ้นมามันเป็นพวงดอกไม้ มันส่งเสริมๆ ส่งเสริมให้ทิฏฐิมานะมันจดขอบฟ้า ส่งเสริมให้กิเลสมันพองตัว ส่งเสริมให้เรายึดมั่นถือมั่นความเห็นของเรา พวงดอกไม้ พวงดอกไม้ก็เข่าอ่อนไง คิดสิ่งใดก็ทำไม่ได้ ทำสิ่งนั้นมันก็มีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ นี่พวงดอกไม้มันก็รัดคอ

เริ่มต้นตั้งแต่ปัญญาแค่นี้ ปัญญาแค่เอาตัวรอด ปัญญาที่ว่าปุถุชน-กัลยาณปุถุชน แล้วเวลายกขึ้นสู่มรรค โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ทำไมต้องมีโสดาปัตติมรรค ทำไมต้องมีสกิทาคามิมรรค ทำไมต้องมีอนาคามิมรรค ทำไมต้องมีอรหัตตมรรคล่ะ ก็มรรคเดียวก็จบไง

ดูสิ แบงก์ของเรา แบงก์ร้อย แบงก์ที่ใช้ในท้องตลาด แบงก์ก็คือแบงก์ใช่ไหม จะซื้อสินค้าอะไรก็ได้ จะซื้อเพชรนิลจินดาก็ได้ จะซื้อปุ๋ยอินทรีย์ ขี้ก็ซื้อได้ ก็ใช้เงินเหมือนกัน เงินมันก็ซื้อได้ทุกอย่าง ทำไมมรรคมันใช้ไม่ได้ทุกอย่างล่ะ ทำไมต้องมีมรรคหยาบมีมรรคละเอียดล่ะ เพราะกิเลสมีพ่อ มีแม่ มีลูก มีหลาน มีเหลนของมัน ปู่ย่าตายายมันยิ่งละเอียดใหญ่ มันก็ต้องมีมรรคที่ละเอียด มีความละเอียดลึกซึ้งเข้าไป เข้าไปสู่ก้นบึ้งของหัวใจ นี่มันเป็นมรรค มันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปไง แต่ถ้าบอกว่า โอ้! เราก็มีปัญญาแล้ว ทางวิทยาศาสตร์เราก็มีปัญญา ทุกอย่างมีปัญญาแล้ว เราต้องไปเชื่อฟังใคร

การเชื่อฟังใคร เห็นไหม หลวงตาท่านพูดนะ มันมีอยู่ทีหนึ่ง เขาว่าลูกศิษย์หลวงปู่มั่นคับแค้นใจมาก โดนเพื่อนหักหลัง วันนี้ถ้าไม่ได้ฆ่าเพื่อนจะอยู่ไม่ได้ ต้องฆ่าให้ได้ ไปเลยนะ ไปวันนี้ ต้องฆ่าเพื่อนให้ได้ พอไปถึง ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นไง อยู่ดีๆ หลวงปู่มั่นโผล่ขึ้นมาเลยนะ “จะไปตกนรกขุมไหน” อู๋ย! ก้มลงกราบนะ ก้มลงกราบ พอกราบ กราบอากาศไม่มีอะไรเลย นี่ไง เวลามันเป็นบุญกุศล มันเป็นสายบุญสายกรรม นี่ยับยั้งได้นะ

วันนี้ถ้าไม่ได้ฆ่า อยู่ไม่ได้ ไม่ยอมเด็ดขาด ต้องฆ่าให้ได้ ถ้าไปก็ฆ่าได้ด้วย เพราะอะไร เพราะเพื่อนกัน สนิทกัน เพื่อนมันจะระวังตัวหรือ เข้าไปมันก็ตายอยู่แล้ว แล้วตายแล้วเป็นอย่างไรล่ะ ครอบครัวก็แตกสลาย แล้วตัวเองไปไหนล่ะ ตัวเองก็ติดคุกไง ติดคุกแล้วไปสร้างเวรสร้างกรรม เขาบอกเลย เห็นเหมือนหลวงปู่มั่นมายืนประจันหน้าเลย “จะไปตกนรกขุมไหน” ด้วยความศรัทธา ก้มลงกราบนะ นี่จะไปฆ่า ใครจะเตือนได้ จิตใจมันทิฏฐิมานะขนาดนั้น ความทุกข์มันเผาลนขนาดนั้นใครจะเตือนได้ ใครเตือนไม่ได้หรอก เห็นไหม

ที่ว่าฟังธรรมๆ ก็ฟังเพราะสิ่งนี้ ปัญญามากๆ ก็ทิฏฐิมาก เวลาความเห็นมากมันก็ความเห็นมาก แล้วเอาใจอยู่ไหม เอาความคิดเราอยู่ได้ไหม ถ้าเอาความคิดเราอยู่ไม่ได้นะ ไม่ต้องมีปัญญามากหรอก พุทโธ คำบริกรรม คำบริกรรมก็คือปัญญานั่นแหละ ปัญญาก็คือความคิดไง ความคิดคิดจากจิตไง พุทโธก็คิดจากจิตไง แต่ปัญญาที่กิเลสมันพาใช้ วางมันซะ แล้วมาพุทโธๆ ให้จิตมันสงบเข้ามา แล้วถ้ามีปัญญามาก ปัญญามากก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเหตุด้วยผล ด้วยเหตุด้วยผลมันสูงส่ง สูงสุดขนาดไหนมันก็แค่หยุด แค่หยุดนั่นคือสมถะ แค่หยุดนั่นคือสมาธิ

แต่ไม่รู้จักสมาธิกัน ไม่รู้จักสมาธิไง ก็โดยวิทยาศาสตร์ไง คิดว่าสิ่งนี้มันเป็นวิปัสสนา ก็ใช้ปัญญาแล้วไง ศาสนาพุทธก็เป็นศาสนาแห่งปัญญาไง ปัญญาก็ใคร่ครวญไปไง แล้วมันปัญญาของใครล่ะ? มันปัญญาของกิเลสทั้งนั้นแหละ ปัญญาของกิเลส แล้วมันเรื่องของใครล่ะ เวลามรรคผลมันเรื่องของใคร มรรคผลก็เรื่องของเราไง เรื่องของความทุกข์ของเรา เรื่องของความสุขเราไง เวลามรรคผลก็เกิดจากจิตของเราไง

เวลาศึกษาขึ้นมา มันมรรคผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาฟังครูบาอาจารย์มันก็มรรคผลของครูบาอาจารย์ไง แล้วมรรคผลของเรา เราก็ไปเลียนแบบอันนั้นมาไง ไปฉกฉวยว่าเป็นมรรคของเราไง แล้วมรรคของเรามันไม่เกิดขึ้นมาเป็นจริงไง ถ้ามรรคของเราก็มรรคของกิเลสไง เพราะกิเลสมันบังเงา มันก็คิดโดยกิเลสไง มันคิดๆ เพราะมันยังไม่ได้ปล่อยวาง เพราะมันยังไม่ได้หยุด

หลวงปู่ดูลย์ถึงบอกว่าคิดเท่าไรก็ไม่รู้ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ คิดเท่าไรมันก็หยุดไง มันหยุดทั้งนั้นแหละ คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด แต่การหยุดคิดนั้นก็ต้องใช้ความคิด นี่ปัญญาอบรมสมาธิไง พอมันหยุดขึ้นมาก็ เออ! เราใช้ความคิดแล้วไง ก็คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด แต่ก็ต้องใช้ความคิด เวลามันหยุดแล้ว เวลามันหยุดแล้วจิตมันสงบแล้ว จิตมันปล่อยวางแล้ว จิตมันสำนึกตัวได้เต็มที่นะ ถ้าจิตสำนึกตัวได้เต็มที่มันจะเห็นความผิดของเรา

ความผิดของเรานะ แล้วความผิดของเรา เราทำสิ่งใดผิด เราว่าเราผิดใช่ไหม แต่นี้ความผิดของเรามันเป็นสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิมานะของเรามันผิด ทิฏฐิที่ความเห็นผิด เริ่มต้นอวิชชามันไม่รู้ มันผิด แล้วมันผิดอย่างไรล่ะ มันผิดอย่างไร แต่เราก็คิดได้ ถูกผิดคิดได้ ขึ้นศาล ศาลตัดสินได้ด้วยเหตุด้วยผล ตัดสินได้หมดแหละ แต่เวลาเราคิดไป เราคิดผิด เราคิดผิด เรามาคิดพุทโธซะ เราไม่คิดอย่างอื่นเลย กลับมาพุทโธ ถ้าคิดโดยตรึกในธรรมก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันหยุดแล้ว หยุดแล้วทำอย่างไรต่อ หยุดแล้วนะ หยุดแล้วเดี๋ยวมันก็คิดอีก เพราะมันหยุดแล้วมันยังทรงตัวไม่ได้ ต้องหยุดบ่อยๆ หยุดบ่อยๆ หยุดบ่อยๆ จนมันตั้งของมันได้ มันรู้ของมันได้ แล้วถ้ามันเสวย มันเห็นของมัน ถ้ามันเห็นของมัน นั่นแหละต้องใช้ความคิด ถ้าใช้ความคิดมันก็เป็นมรรค ถ้าไม่ใช้ความคิด เอาอะไรมาเป็นมรรค ถ้าไม่มีสติปัญญา มันทำขึ้นมาไม่ได้มันก็ไม่ได้ ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง ฟังธรรมก็ฉุกคิดๆ ไง

เวลาครูบาอาจารย์ เราทำของเราด้วยความคุ้นเคย ด้วยความคุ้นชิน เราก็ว่ามันไม่มีความผิดพลาด แต่นั่นล่ะคือความผิดพลาด เพราะมันคุ้นชินไปแล้ว มันไปแล้ว จิตมันไปแล้ว หลวงตาท่านบอกว่าเวลากิเลสมันมา มันถ่าย คือมันถ่ายมูตรถ่ายคูถไว้บนหัวใจแล้วมันก็ไปแล้ว ก็ความคิดไง เราคิดของเรามันถ่ายมูตรถ่ายคูถ มันไปแล้ว พอมันไปแล้วเราคิดได้ เอ๊อะ! มันไปแล้ว มันไปแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน บอกว่าพอเราคิดได้ๆ คิดได้มันคิดแล้ว กิเลสมันสมความปรารถนามันแล้ว กิเลสมันหลอกเสร็จแล้ว มันไปแล้ว กิเลสมันหลอกหัวปั่นแล้วมันก็ไป เอ๊อะ! คิดได้ กิเลสมันไปแล้วใช่ไหม ฉะนั้น เราถึงยังไม่เห็นทุกข์ไง เหตุให้เกิดทุกข์ สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ แล้วเราทำอย่างไรล่ะ เราทำอย่างไร

ที่เรามาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้ สติปัญญาจะมากน้อยขนาดไหน วางไว้ วางไว้ แล้วพยายามทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้ ถ้าใจมันสงบระงับเข้ามา มันรู้มันเห็นของมัน ถ้าใจมันไม่สงบระงับเข้ามา กิเลสมันไม่มีเหตุมีผลหรอก มันน้อยเนื้อต่ำใจ มันไม่พอใจ มันกระฟัดกระเฟียดอยู่ในหัวใจ มันอยู่อย่างนั้นแหละ จะมีความคิดสูงส่ง ความคิดดีขนาดไหน ถ้าความคิดสูงส่งขนาดไหนมันเป็นโลกทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นหน้ากิเลสหรอก ไม่เห็นหน้ามัน ถ้าไม่เห็นหน้ามันก็ไม่รู้จักตัวมัน แล้วไม่รู้จักมัน ไม่รู้จักตัวมันแล้วจะไปชำระล้างมันได้อย่างไร คนเราไม่เคยเห็นหน้ากิเลส แล้วไม่รู้จักกิเลส แล้วก็ปากเปียกปากแฉะนะ พิจารณากาย สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔

สติปัฏฐาน ๔ มันคิดได้ทั้งนั้นแหละ ใครก็คิดได้ ความคิดความเห็นมันคิดได้ มันเป็นภาคของปริยัติ ถ้าเป็นภาคปฏิบัติ ถ้าภาคปฏิบัตินะ ดูคนทำเหมืองสิ คนทำเหมืองเขาขุดเหมืองไปเป็นหลายๆ กิโลเมตร เขาจะรู้เลยว่าที่เขาลงไปทำเหมืองในใต้ดิน อุโมงค์นั่นลึกหลายกิโลเมตร กับบนผิวโลกมันแตกต่างกันอย่างใด แต่ของเรา เราไม่เคยลงทำเหมืองเลยใช่ไหม เราก็จินตนาการได้ อ๋อ! ลงไปในเหมืองนะ ถ่ายวีดีโอขึ้นมาให้ดูเลย เป็นอย่างนั้นๆ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่เคยเห็นหน้ากิเลส ไม่รู้จักมันหรอก ถ้าไม่รู้จักมัน จะไปฆ่ามันได้อย่างไร ถ้าไม่รู้จักจะไปเท่าทันมันได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็พูดกันปากเปียกปากแฉะ “สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔” มันก็เหมือนทางวิชาการ วิทยาศาสตร์ไง ที่บอกวิทยาศาสตร์แก้กิเลสไม่ได้ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ๆ มันก็พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีมันก็ลงตัวอย่างนั้นแหละ แต่ใครเป็นคนพิสูจน์ล่ะ แล้วพิสูจน์วิทยาศาสตร์ก็เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นทฤษฎี เป็นสสารใช่ไหม แต่นามธรรม ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิด

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์คร่ำครวญมาก พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน อยากให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่สั่งสอนพระอานนท์ก่อน อย่างน้อยก็เป็นพระอรหันต์แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่อยนิพพานไป

“อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ตถาคตก็ต้องตาย”

แม้แต่ตถาคต เพราะมันเกิดแล้ว มันเกิดขึ้นมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ประพฤติปฏิบัติจนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันมี มันมีวัตถุ มันมีสสาร มันต้องแปรสภาพของมันไป แต่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานอันนั้น ธรรมธาตุอันนั้น “เราไม่ได้เอาสมบัติของใครไปนะอานนท์ ธรรมวินัยเราก็ได้วางไว้แล้ว เธอปฏิบัติไป อีก ๓ เดือนข้างหน้าเธอจะได้เป็นพระอรหันต์ ธรรมและวินัยเราวางไว้แล้ว แล้วเราไป ไม่ได้เอาสมบัติของใครไปเลย ไม่เอานิพพานของใครไปเลย ก็เอานิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเท่านั้น”

แต่นิพพานของพวกเรา ถ้าเราจะทำได้ เพราะใจเรามันทุกข์มันยากอยู่นี่ ถ้าเป็นนิพพานก็นิพพานในใจของเรานี่แหละ เห็นไหม มันเป็นสมบัติของเรา มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก นี่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของครูบาอาจารย์ก็เป็นของครูบาอาจารย์ เราไปได้ยินได้ฟังขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราจะทำให้เหมือน มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ เราถึงต้องทำความสงบของใจเข้ามาไง เราต้องค้นคว้าใจของเราขึ้นมาไง เราต้องทำคุณงามความดีของเรามาไง แล้วถ้าเป็นของเราๆ แล้วเรามาทำบุญทำไม เรามาขวนขวายทำไม ก็ขวนขวายเพราะเรายังไม่รู้ไม่เห็น เราก็ต้องขวนขวาย ขวนขวายเปิดหนทางให้มันไง

ถ้าโยมมาขวนขวาย มาทำบุญกุศลอันนี้ มันก็เหมือนกับพระ เวลาพระออกธุดงค์ ออกธุดงค์ไปทำไม? ออกธุดงค์ก็ไปหาหัวใจ หัวใจก็อยู่กลางอก ทำไมต้องไปหาในป่า หัวใจอยู่กับเรา ทำไมเราหาไม่เจอ หัวใจอยู่กับเรา ทำไมต้องหาใจเราให้เจอ ต้องสัมมาสมาธิแล้วค่อยวิปัสสนาไง แล้วมันอยู่ไหนล่ะ มันก็เหมือนกัน เหมือนโยมที่มาทำบุญอยู่นี่ โยมมาทำบุญอยู่นี่เพราะโยมก็ยังจับต้นชนปลายไม่ได้ โยมก็ต้องมาปูพื้นฐานของโยมเอง

พระก็เหมือนกัน พระบวชมาแล้วเป็นนักรบ ยังหาใจไม่เจอจะทำอย่างไร ออกพรรษาแล้วก็ธุดงค์ไป ธุดงค์ไป แบกกลดแบกบาตรเข้าป่าเข้าเขาไป หลวงตาท่านพูดบ่อย แบกไปไหน แบกไปหาอะไร? ก็แบกไปหาหัวใจของตัว แต่แบกไปถ้าว่าผิดไหม? ไม่ผิด ก็ถูก เพราะอะไร เพราะเริ่มต้นทำต้องเป็นอย่างนั้น

เราอยากได้แร่ธาตุ เราอยากได้ทองขึ้นมา เขาไม่ขุดไปในเหมือง เขาจะร่อนเอาใช่ไหม ดูสิ เขาร่อนทองกันน่ะ เขาร่อนทอง พอมันขึ้นมาอยู่ผิวดิน แต่ถ้าเราทำเหมือง เราต้องขุดลงไปๆ ใจก็เหมือนกัน ถ้าทำอย่างนี้ นี่ไง เหตุผลว่าทำไมต้องฟังธรรม ทำไมจะต้องขวนขวาย ต้องประพฤติปฏิบัติ เพราะเราไม่รู้จักตัวเราเอง

กิเลสไม่มีเหตุมีผล เวลามันขับมันดันขึ้นมา น้อยเนื้อต่ำใจไปหมดแหละ มันกระฟัดกระเฟียดขึ้นมา เอาไม่อยู่ ก็ไหนว่าปัญญาชนไง ปัญญาชนมีปัญญามาก ทำหน้าที่การงานประสบความสำเร็จหมดแหละ ทำอะไรก็ทำได้หมดแหละ ทำไมเอาใจตัวไม่ได้ ทำไมไม่รู้จักตัวมัน ทำไมไม่รู้จักล่ะ

นี่ไง ถ้ามันจะรู้จัก กรรมฐาน ๔๐ ห้อง ทำใจเราให้สงบเข้ามา แล้วถ้าเห็นมันแล้วนะ ใจของเรา เราไว้ในอำนาจของเรา แล้วเอาใจของเราออกใช้ปัญญา นี่ความรู้แจ้งของใจ ถ้าใจมันรู้แจ้ง สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติธรรมมาถึงที่สุด ถ้าสุดแล้วก็จบ ถ้าจบแล้วก็จบ ทีนี้เราก็อยู่ของเราด้วยสัจจะด้วยความจริง รอกาลเวลาเท่านั้น

แต่ถ้าใจของเรายังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ เราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา เราพยายามทำของเราไง เพราะชีวิตนี้มีค่า ถ้าไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ มันไปเกิดเป็นอะไรก็ไม่รู้ เกิดเป็นสิ่งใดแล้วมันก็มีมุมมองของภพชาติที่เกิดนั่นแหละ แต่ในปัจจุบันนี้เราได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วมีศรัทธาความเชื่อนะ มีศรัทธามีความเชื่อ มีความมั่นคง แต่มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ มีโอกาสได้ค้นคว้า แต่ค้นคว้าได้หรือไม่ได้นี้เป็นคุณสมบัติของเรา เป็นความสามารถของเรา เป็นจริตเป็นนิสัยที่เราจะขวนขวายของเราเพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ เอวัง